พญายักษ์ทศกัณฐ์
ท้าวราพณ์, ท้าวราวณะ หรือ ราพณาสูร (สันสกฤต: रावण, Rāvaṇa) หรือมักเรียก ทศกัณฐ์ (ผู้มีสิบคอ คือ มีสิบศีรษะ) เป็นตัวละครเอกตัวหนึ่งในเรื่องรามเกียรติ์ บุตรของท้าวลัสเตียนกับนางรัชฎา เจ้าครองกรุงลงกา เดิมเป็นยักษ์ชื่อ “นนทก” กลับชาติมาเกิด ซึ่งนนทกมีหน้าที่ล้างเท้าให้กับเทวดาทั้งหลาย เทวดาเหล่านั้นก็มักจะลูบหัวนนทกจนล้าน นนทกจึงเกิดความแค้น เลยไปขอนิ้วเพชรจากพระอิศวร แล้วทำร้ายพวกเทวดาที่มาลูบหัวตน นนทกได้เข่นฆ่าเหล่าเทวดาตายนับไม่ถ้วน ทำให้พระอิศวรต้องร้องขอพระนารายณ์ให้มาช่วยปราบนนทกให้
พระนารายณ์จัดการกับนนทก โดยการจำแลงองค์เป็นนางเทพอัปสรดักอยู่ตรงทางที่นนทกเดินผ่านเป็นประจำ ฝ่ายยักษ์นนทกเมื่อได้เห็นนางจำแลงจึงเกิดความหลงและเข้าไปเกี้ยวพาราสี นางจำแลงแสร้งทำยินดี โดยยื่นข้อเสนอว่าให้นนทกร่ายรำตามนางทุกท่าแล้วจะยินดีผูกมิตรด้วย และแล้วยักษ์นนทกก็ทำตามนาง โดยหารู้ไม่ว่านั่นเป็นเล่ห์กล จนกระทั่งถึงท่านาคาม้วนหางนิ้วเพชรของนนทกชี้ไปที่ขาของตัวเอง ขานนทกก็หักลงทันใด นนทกล้มลง ทันใดนั้น นางแปลงกลายเป็นพระนารายณ์เหยียบอกนนทกไว้
ก่อนตายนนทกอ้างว่าพระนารายณ์มีหลายมือตนสู้ไม่ได้ พระนารายณ์จึงให้คำสัตย์ว่า ให้นนทกไปเกิดใหม่ มีสิบเศียรสิบพักตร์ยี่สิบมือ เหาะเหินเดินอากาศได้ มีอาวุธนานาชนิดครบทุกมือ ส่วนพระนารายณ์จะไปเกิดเป็นมนุษย์มีสองมือและตามไปฆ่านนทกให้ได้ นนทกต่อมานนทกไปเกิดเป็นเปรตอยู่ที่เขาของพระอิศวรมีกระดูกยื่นออกมาจาก ศีรษะและใช้เส้นเอ็นของตนเล่นศอจนพระอิศวรลงมานนทกจึงขอพรให้ตนไปเกิดเป็นทศ กัณฐ์ตามคำของพระนารายณ์พระอิศวรจึงให้พรแล้วให้นนทกไปจุติในครรภ์พระนางรัช ดา มเหสีท้าวลัสเตียน เจ้ากรุงลงกา เกิดมาเป็นโอรสนามว่า ทศกัณฐ์
ทศกัณฐ์ เป็นยักษ์รูปงาม มีสิบหน้า ยี่สิบกร ทรงมงกุฏชัย ลักษณะปากแสยะ ตาโพลง กายปกติสีเขียว แต่มีนิสัยเจ้าชู้ ตอนที่เกี้ยวพาราสีนางมณโฑได้เนรมิตร่างตนเองให้เป็นสีทอง
อาวุธของทศกัณฐ์มีดังกลอนต่อไปนี้
กระทืบบาทผาดโผนโจนร้อง | กึกก้องฟากฟ้าอึงอุด |
มือหนึ่งจับศรฤทธิรุทร | มือสองนั้นยุดพระขรรค์ชัย |
มือสามจับจักรกวัดแกว่ง | มือสี่จับพระแสงหอกใหญ่ |
มือห้าจับตรีแกว่งไกว | มือหกฉวยได้คฑาธร |
มือเจ็ดนั้นจับง้าวง่า | มือแปดคว้าได้พะเนินขอน |
มือเก้ากุมเอาโตมร | กรสิบนั้นหยิบเกาทัณฑ์ |
ไม่มีใครฆ่าทศกัณฐ์ให้ตายได้ เพราะได้ถอดดวงใจใส่กล่อง ฝากไว้กับอาจารย์ คือพระฤๅษีโคบุตร ด้วยความที่มีนิสัยเจ้าชู้ ได้ลักพาตัวนางสีดาผู้มีรูปโฉมที่งดงาม ไปจากพระรามที่เป็นพระสวามี เป็นเหตุให้เกิดศึกสงครามระหว่าง ฝ่ายพระราม กับ ฝ่ายทศกัณฐ์ จนญาติมิตรของฝ่ายทศกัณฐ์ล้มตายไปเป็นจำนวนมาก สุดท้ายทศกัณฐ์เองก็ต้องตายเพราะนิสัยเจ้าชู้และความไม่ยอมแพ้ของตน ซึ่งก่อนตาย ทศกัณฐ์ได้รู้ตัวแล้วว่าต้องตายแน่ แต่ด้วยขัตติยมานะจึงต้องต่อสู้กับพระราม จึงแต่งองค์อย่างงดงาม และถูกศรพรหมมาศของพระรามฆ่าตาย ก่อนตาย ทศกัณฐ์ได้เห็นภาพว่า แท้ที่จริงแล้วพระรามคือ พระนารายณ์อวตาร และได้สั่งเสียกับน้องชายตัวเอง คือ พิเภก ด้วยใบหน้าทั้งสิบ ซึ่งเรียกว่า “ทศกัณฐ์สอนน้อง” และภายหลังพิเภกก็ได้ครองกรุงลงกาสืบต่อแทน
ปากหนึ่งว่าโอ้พิเภกเอ๋ย | ไฉนเลยมาแกล้งฆ่าพี่ |
ตัวเราก็จะม้วยชีวี | ในเวลานี้ด้วยศรพิษ |
ปากสองว่าเจ้าจะครองยศ | ร่วมท้องสืบสายโลหิต |
จะได้ผ่านลงกาสมคิด | เป็นอิสรภาพแก่หมู่มาร |
ปากสามขอฝากมณโฑด้วย | โปรดช่วยบำรุงเป็นแก่นสาร |
ทั้งอัคคีกัลยายุพาพาล | ฝูงสนมบริวารทั้งนั้น |
ปากสี่ว่าเจ้าจะครองยศ | ปรากฏเป็นจอมไอศวรรย์ |
จงเอ็นดูสุริยวงศ์พงศ์พันธุ์ | โดยธรรม์สุจริตประเวณี |
ปากห้าจงดำรงทศพิธ | อย่าทำทุจริตให้เหมือนพี่ |
ตัดโลภโอบอ้อมอารี | แก่โยธีไพร่ฟ้าประชากร |
ปากหกว่าเจ้าจงอดโทษ | ซึ่งกริ้วโกรธด่าว่ามาแต่ก่อน |
อย่าให้เป็นเวราอาวรณ์ | แก่เราผู้จะจรไปเมืองฟ้า |
ปากเจ็ดขอฝากนคเรศ | อันทรงวงศ์พรหเมศนาถา |
สืบมาแต่องค์พระอัยกา | เมตตาอย่าให้จลาจล |
ปากแปดว่าเราเลี้ยงท่าน | ก็ประมาณหมายใจให้เป็นผล |
ตัวเราชั่วเองจึงเสียชนม์ | แล้วได้ร้อนรนทั้งแผ่นภพ |
ปากเก้าว่าพี่จะลาตาย | น้องชายเมตตาช่วยปลงศพ |
อย่าให้ค้างราตรีในที่รบ | ไตรภพจะหมิ่นนินทา |
สิบปากสิ้นฝากสิ้นสั่ง | สิ้นกำลังสิ้นคิดยักษา |
พิษศรร้อนรุ่มทั้งกายา | อสุรากลิ้งเกลือกเสือกไป |
ทศกัณฐ์ เป็นหนึ่งในยักษ์ทวารบาลสองตน ที่ยืนเฝ้าประตูทางเข้าพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามคู่กับสหัสเดชะ เพราะถือว่าเป็น ยักษ์ที่มีฤทธิ์มากเท่าเทียมกัน
มีการวิเคราะห์กันว่า ตัวละครอย่าง ทศกัณฐ์ หรือบรรดายักษ์ในเรื่อง เป็นตัวแทนของชาวทัสยุ หรือ ดารวิเดียน ซึ่งเป็นชนชาวผิวดำที่อยู่ทางตอนใต้ของอินเดียในสมัยโบราณ และพระราม หรือ พลพรรคลิง เป็นตัวแทนของชาวอารยัน หรือชาวผิวขาวที่อยู่ทางตอนเหนือ และชาวอารยันก็ได้ทำสงครามชนะชาวทัสยุ ซึ่งต่อมาก็ได้มีการแต่งวรรณกรรมเรื่อง รามเกียรติ์ นี้ขึ้นมาเพื่อยกย่องพวกตนเอง
Posted on พฤษภาคม 5, 2013, in เกร็ดวรรณคดี. Bookmark the permalink. ใส่ความเห็น.
ใส่ความเห็น
Comments 0